.นักวิเคราะห์ให้เป้า SET สูงสุด 1,782 จุด EPS โต 12% ตามเศรษฐกิจฟื้น

เรื่องที่น่าสนใจล่าสุด

นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 25 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 65 สรุปได้ดังนี้ คาดการณ์ SET Index ในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 จะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากสิ้นปี 64 มากนัก โดยจะปิดสิ้นไตรมาสแรกที่ 1,665 จุด และเมื่อมองตลอดปีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,546 ถึง 1,782 จุด และคาดการณ์ว่าสิ้นปีจะปิดที่ 1,760 จุด ทั้งนี้ นักวิเคราะห์เพิ่มสมมติฐานหลักด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 65 จะเติบโต 3.71% ปรับจากการสำรวจเมื่อ 3 เดือนก่อนอยู่ที่ 3.67% และเพิ่มสมมติฐานด้านราคาน้ำมันดิบสูงขึ้นเป็น 69.90 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก สูงขึ้นจากการประเมินครั้งก่อน 68.54 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล

สำหรับทิศทางการลงทุนในปี 65 เชื่อว่าจะได้ผลบวกที่ชัดเจนมาจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่จะดีขึ้น โดยมีผู้โหวตถึง 92% และภาวะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย มีผู้โหวต 84% ตามมาด้วยแนวโน้มความคืบหน้าของการฉีดวัคซีนและโควิดในไทย มีผู้โหวต 80%

ส่วนปัจจัยด้านลบมาจากแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีผู้โหวตมากถึง 84% รองลงมาคือ การเตรียมลดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ทั่วโลก มีผู้โหวต 72% และ ตามติดมาด้วยแนวโน้มสถานการณ์โควิดของโลกที่สูงขึ้นอีกครั้ง มีผู้โหวต 68%

ทางด้านอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย ความเห็นส่วนใหญ่ 79% มองว่าน่าจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปีนี้

ขณะที่ผลกำไรต่อหุ้น (EPS) ของบริษัทจดทะเบียนปี 65 เฉลี่ยที่ 89.59 บาท/หุ้น เติบโต 11.82% จากปี 64 อย่างไรก็ตามตัวเลขคาดการณ์ใหม่นี้ต่ำกว่าการสำรวจครั้งก่อนซึ่งอยู่ที่ 92.49 บาท/หุ้น

นักวิเคราะห์ ส่วนใหญ่ยังแนะนำการลงทุนในปี 65 ให้กระจายพอร์ต แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.22% กองทุนตราสารหนี้ 16.96% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 29.87% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 28.96%ฅ กองทุนอสังหาฯหรือ REIT 8.09% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 5.35% และอื่นๆ 0.57%

ส่วนการลงทุนหุ้นไทย แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักในหมวดธุรกิจค้าปลีก ธนาคาร อสังหาริมทรัพย์ และสื่อสาร ขณะที่ให้ลดน้ำหนักลงทุนในหมวดธุรกิจการเกษตร ปิโตรเคมี การแพทย์ และการท่องเที่ยว

หุ้นเด่นที่แนะนำ คือ ADVANC CPALL EA KBANK และ SCB ส่วนหุ้นที่แนะนำให้หลีกเลี่ยง คือ ธุรกิจโรงแรมและสายการบิน รวมถึงหุ้นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบางบริษัทที่เคยวิ่งขึ้นกว่า 1,000% ในช่วงปี 63-64 เนื่องจากปัจจุบันแม้ราคาลงมาบ้าง แต่ยังคงเกินมูลค่าปัจจัยพื้นฐาน

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล ได้แก่ การเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ วางแผนโครงสร้างเทคโนโลยีการผลิตระยะยาว รวมถึงโครงข่ายสื่อสารและขนส่ง นอกจากนั้น ยังแนะนำให้ช่วยเหลือประชาชน โดยเร่งฉีดวัคซีนเข็ม 3 รวมถึงมาตรการให้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีเพื่อกระตุ้นภาคการบริโภค ส่วนด้านภาคธุรกิจนั้นควรใช้นโยบายสนับสนุนสินเชื่อภาคธุรกิจเพิ่มเติม

อ้างอิง
https://m.mgronline.com/stockmarket