ผีขอบุญผู้ทรงศีล : ตรีเนตร

นิยายสั้นสยองขวัญ (Horror/ Chiller)

โดย : ตรีเนตร
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media & เติมฝัน (termfun.com)

พ.ศ. 2504-2500 ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุได้ประมาณ 14-15 ปี น้าเขยมีอุบายอยากจะให้ข้าพเจ้าบวชเป็นสามาเณรเพราะข้าพเจ้าเป็นลูกกำพร้าไม่มีพ่อแม่ เนื่องจากคุณแม่ได้เสียชีวิตไปตั้งแต่ข้าพเจ้าอายุ 5-6 ขวบ ส่วนพ่อนั้นได้หนีไปบวชและได้ขึ้นไปจำพรรษาอยู่แถว ๆ ภาคเหนือ

ข้าพเจ้ากับพี่สาวทั้ง 2 จึงได้อยู่ในความอุปการะของคุณตา ต่อมาคุณตาได้เสียชีวิตลงอีกคน ข้าพเจ้ากับพี่สาวทั้ง 2 จึงได้อยู่ในความอุปการะของน้าเขยและน้าสาว คนทั้ง 2 ได้รวบรวมทรัพย์สินที่เป็นกรรมสิทธิ์ขงคุณพ่อคุณแม่ จัดแบ่งขายได้เงินมาจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็มากพอสมควรในสมัยนั้นน้าเขยและน้ำสาวก็ได้จัดซื้อที่นา และสวนให้พวกข้าพเจ้าประมาณ 80 ไร่ โดยแบ่งออกเป็นสามส่วน ส่วนพี่คนโตและคนรองได้กันประมาณคนละ 30 ไร่ ส่วนข้าพเจ้าได้ 20 ไร่เท่านั้น จนพี่สาวทั้งสองได้แต่งงานมีครอบครัวไปหมดแล้ว จึงเหลือข้าพเจ้าคนเดียวที่ยังเป็นเด็กและได้อาศัยอยู่กับพี่สาวคนโต

คืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าจำได้ว่าน้าทั้งสองเรียกข้าพเจ้าไปพบท่าน จนชักใจคอไม่ค่อยดีกลัวว่าจะถูกดุหรือถูกอบรมในเรื่องความประพฤติเพราะข้าพเจ้าเองก็นับว่าเป็นเด็กที่จัดอยู่ในขั้นประเภทเหลือขอคนหนึ่งเช่นกัน ที่สุดข้าพเจ้าจึงตัดสินใจว่าเป็นอะไรก็เป็นกัน ลูกผู้ชายกลัวอะไรอย่างมากก็ถูกดุ และอบรมสั่งสอนตักเตือนในด้านความประพฤติ โทษเฆี่ยนตีไม่มีแน่เพราะน้าทั้งสองไม่เคยตีลูกหลาน นอกจากดุด่าชี้แจงให้เห็นในสิ่งที่ดีที่เลว พอไปถึงข้าพเจ้านั่งทำตาแป๋วๆ อยู่นาน

“น้าอยากจะให้เอ็งบวช เพื่อทดแทนพระคุณพ่อแม่ และจะได้ศึกษาเล่าเรียนหนังสือทั้งทางธรรมและทางโลก ถ้าเอ็งมีบุญวาสนาพาส่งอนาคตของเอ็งก็จะได้เป็นเจ้าขุนมูลนาย มีเงินเดือนกินเหมือนคนอื่นเขาบ้าง”

น้าเขยบอกกล่าวกับข้าพเจ้าเป็นครั้งแรก พร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า ซึ่งแสดงออกถึงความมีเมตตาปราณีต่อข้าพเจ้ายิ่งนัก ทำให้ข้าพเจ้าโล่งอกไปที ที่พ้นจากเหตุการณ์อันวิกฤต

น้าสาวได้กล่าวสำทับต่อไปอีกด้วยกับจะย้ำความหนักแน่นในคำพูดของน้าเขย ว่า

“ส่วนที่นาของเอ็งนั้น น้าจะให้พี่สาวคนโต้มันเช่าทำและเอ็งก็จะได้ผลประโยชน์จากค่าเช่านา เป็นค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียน ถ้าขาดเหลืออะไรอีก น้าก็จะช่วยเหลือส่งเสียให้ เพราะน้าทั้งสองสงสารเอ็งและกลัวจะเสียผู้เสียคน มิใช่น้ำทั้งสองเกลียดชังและขับไล่ไสส่งเอ็งหรอกขอให้เอ็งนำไปคิดตริตรองดูให้ดี”

ต่อมาอีก 2-3 วัน เมื่อคุณน้าทั้งสองได้รับคำตอบของข้าพเจ้าว่าตกลง ท่านทั้งสองพร้อมญาติพี่น้องจึงจัดหา ผ้าจีวร สบง บาตร และบริขารอื่น ๆ และนำไปบรรพชากับพระอุปัชฌาย์ที่วัดแห่งหนึ่งในตำบล เป็นอันว่าข้าพเจ้าได้กลายเพศเป็นสามเณรน้อย ๆ รูปหนึ่งโดยถูกต้องตามพุทธวินัยของสงฆ์

เมื่อได้บวชพรรษา ข้าพเจ้าได้ลาพระอุปัชฌาย์และญาติโยมเดินเข้ามาศึกษาต่อที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ซึ่งบริเวณนั้นล้อมรอบไปด้วยสวนป่า กุฏิหลังที่ข้าพเจ้าได้เข้ามาพักอาศัยนี้ อยู่ท้ายสุดของบริเวณวัดด้านตะวันตก และห่างจากห้องพักของข้าพเจ้าออกไปประมาณ 30 เมตร เป็นบ้านร้างซึ่งจะร้างมาแต่เมื่อไหร่ และมีความลึกลับอย่างไรนั้น ในวันแรกๆ ข้าพเจ้ามิทราบเนื่องจากไม่มีใครบอกเล่าให้ฟังมาทราบภายหลังว่า ท่านเจ้าคณะได้ห้ามพระและสามเณร บอกเล่าให้พระเณรที่มาอยู่ใหม่จะกลัวและจะอยู่พักไม่ได้

คืนแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาพักอาศัยนั้นประมาณ 2 ทุ่มข้าพเจ้าเดินเข้าห้องนอน มองผ่านหน้าต่างบานตะวันตกออกไปโดยมิได้ตั้งใจ ก็เห็นมีร่างของหญิงสาวคนหนึ่งเดินขึ้นบันไดไป ข้าพเข้าก็ไม่ได้คิดอะไร  เพราะคิดว่าเจ้าของบ้านเขาคงกลับมาจากทำงาน

หลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว จึงเริ่มทำวัตร-สวดมนต์ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลผลบุญให้แก่ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวรสรรพสัตว์ทั้งหลายภูตผีปีศาจอสูรกายต่าง ๆ ซึ่งเป็นพุทธกิจของสงฆ์

เสร็จจากทำวัตรประมาณ  3 ทุ่มกว่า ข้าพเจ้าเดินไปปิดหน้าต่างก่อนที่จะจำวัด สายตาของข้าพเจ้าก็เหลือบไปเห็นหญิงสาว คนเดิมนั่งพิงเสาอยู่ใต้ถุนบ้านลักษณะการนั่งนั้นกัมหน้า มือตกอยู่ข้างลำตัว มองไม่เห็นใบหน้า เพราะเขานั่งก้มหน้าตลอด แสงตะเกียงพอสลัว ๆ เท่านั้น

ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจนักจึงเดินไปปิดหน้าต่าง เพื่อจะหลับนอนช้าพเจ้าต้องตกใจ เพราะมีเสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังสะอึกสะอื้นขึ้นดังก้องเข้ามาในรูหู และเขย่าหัวใจยังไง ๆ อยู่ และพยายามเงี่ยหูฟังเพื่อหาทิศทางของเสียงนั้น และก็รู้ได้ทันทีว่ามันดังมาจากทางบ้านหลังนั้นเอง

ข้าพเจ้าเข้าใจว่า สามีภรรยาบ้านนั้นคงจะทะเลาะกันตามประสาลิ้นกับฟัน แล้วก็ล้มตัวดับไฟลงนอน

จนตี 4 เศษๆ เสียงพระเณรตื่นล้างหน้าล้างตากัน ข้าพเจ้าก็ตื่นตามเขาบ้าง

จนบ่ายแก่ๆ เจ้าคณะเรียกไปพบ ท่านได้สอบถามถึงทุกข์สุข และความเป็นอยู่ภายในห้องว่าเรียบร้อยดีหรือ? ข้าพเจ้าพยายามสังเกตดูหน้าท่านก็ยิ้มแย้มดี แต่คล้ายๆ แฝงไว้ด้วยความลับอะไรสักอย่างหนึ่ง ตลอดถึงพระเณรที่อยู่กุฏิในคณะเดียวกันพูดจาถามไถ่ด้วยก็จริงแต่รอยยิ้มละไมของพวกท่านเหล่านั้นซิคล้ายๆ มีอะไรแอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ ข้าพเจ้าคิดว่าจะพยายามไขความลับนี้ให้ได้ในคืนนี้เป็นอะไรก็เป็นกัน เราก็ศิษย์ตถาคตเจ้าเช่นกัน
.
.
.

คืนที่สองหลังจากทำธุระเสร็จ ข้าพเจ้าก็อธิษฐานจิตใจขออย่าให้ภัยทั้งปวงที่มองไม่เห็นและมองเห็นมารบกวนเราผู้ปฏิบัติธรรมเลย
.
.
.
ปรากฏว่าคืนนี้นอนหลับสนิทดีไม่มีสิ่งใดมารบกวนเลย จนเวลา
เท่าไหร่ไม่รู้ได้ฝันไปว่า

บ้านร้างหลังนั้นเดิมเป็นที่พักอาศัยของสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามีไปมีเมียใหม่ ปล่อยให้หญิงสาวภรรยาเดิมไว้ทนทุกข์ทรมาน จนนางได้ผูกคอตายใต้ถุนบ้านนั้น”

ตามภาพที่ข้าพเจ้าเห็นในคืนแรก ตามความฝันนั้นคล้ายๆ กับจิตสำนึกของข้าพเจ้ารู้เองว่านางต้องการส่วนบุญส่วนกุศลจากข้าพเจ้า ซึ่งเป็นเณรพลัดบ้านเกิดเมืองมา

พอฝันจบข้าพเจ้าก็ตกใจตื่นขณะนั้นเป็นเวลาตี 3 เศษๆ ข้าพเจ้ารีบเปิดไฟและนั่งทบทวนความฝันว่า มันเป็นความจริงหรือจิตไม่ปกติ

เมื่อตัดความกลัวได้จึงลุกขึ้นเดินไปเปิดหน้าต่างบานตะวันตกออกทันที
.
.
.
กระแสลมก็พวยพุ่งมาปะทะอย่างแรง พร้อมกับได้กลิ่นน้ำอบไทยและกลิ่นรูปหอมจีนโชยมาอ่อนๆ ทำให้ข้าพเจ้าขนลุกซู่ คล้ายๆกับจะบอกว่า ฝันนี้จะเป็นจริง
.
.
.

หลังจากฉันอาหารแล้ว ได้ขึ้นไปนมัสการกราบเรียนท่านเจ้าคณะ เล่าเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นมาในคืนแรกและคืนที่ 2 เกี่ยวกับความฝันเมื่อคืนนี้ให้ท่านฟัง ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า

เท่าที่สามเณรได้เห็นและฝันเห็นหญิงสาวทั้งสองครั้งนั้น มันเป็นเรื่องจริงทุกประการ และการที่วิญญาณของเขาคนนั้นมาปรากฎร่างให้เห็นนั้น เป็นเพราะสามเณรเป็นคนแปลกหน้า และมาอยู่ใหม่ และคงเห็น อีกประการหนึ่งว่าเณรเป็นผู้ทรงศีลอันบริสุทธิ์ นางจึงอยากขอส่วนบุญพระสามเณรเกือบทุกรูปที่มาอยู่ห้องนี้ ถูกหลอกหลอนโดยวิธีการต่าง ๆ และร้ายแรงกว่าสามเณรอีกจึงอยู่กันไม่ได้ ห้องนี้จึงถูกปิดตาย ถ้าเณรอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็จะหาห้องใหม่ให้”

ข้าพเจ้าจึงขออยู่ต่อไป เพื่อทดสอบดูว่า ความลึกลับนี้จะเป็นผลเช่นไร
.
.
.
ก่อนนอน-ตื่นนอน ข้าพเจ้าได้ทำวัตรสวดมนต์ แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุลผลบุญไปให้วิญญาณของหล่อนทุกวัน ตามคำขอในความฝันทุกสิ่งทุกอย่าง คล้ายมีสิ่งบันดาลให้เป็นไปตามกระแสจิตที่นึกคิดได้เสมอ ข้าพเจ้าจึงได้แต่อนุโมทนาและแผ่ส่วนกุศลไปให้นางเป็นครั้งสุดท้าย ขอให้วิญญาณของนางจงเป็นสุขๆ และไปสู่สุขคติภพในนเทอญ
.
.
.
และคืนสุดท้าย ก่อนที่ข้าพเจ้าจะย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดอื่น เมื่อข้าพเจ้าก็อยู่วัดนี้มาหลายปีข้าพเจ้าได้ฝันไปว่า

นางพ้นทุกข์พ้นบาปแล้ว เพราะได้กุศลผลบุญจากข้าพเจ้า และน้อมลาข้าพเจ้าไปสู่สุคติภพ และอิ่มเอิบในพระคุณข้าพเจ้ายิ่งนัก สาธุ”

ร่างนั้นค่อยๆ จางหายไปจนข้าพเจ้าตกใจตื่น
.
.
.
วันรุ่งขึ้นก็กราบลานมัสการท่านเจ้าคณะไปสู่วัดอื่น
.
.
.
ส่วนกุฏิหลังนี้ทุกวันนี้ได้
ถูกรื้อถอนหมดแล้วเพราะความเก่าทรุดโทรม รวมทั้งบ้านร้างนั้นด้วย