โดย : ตรีเนตร
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media & เติมฝัน (termfun.com)
ดิฉันมีบ้านอยู่แถวบางแค วันหยุดฉันจะชอบดูหนังวีดีโอไม่ยอมออกไปไหน ม้วนวิดีโอจะเช่าอยู่ในตลาด ด้วยเหตุที่ชอบดูหนังนี่เอง ทำให้ดิฉันได้มีประสบการณืผีกับเขา
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ ดิฉันเดินไปส่งม้วนวีดีโอประมาณ 1 ทุ่มได้ เส้นทางที่เดินต้องผ่านตึกเพิ่งสร้างเร็จ และมีคนงานก่อสร้างตกตึกตายหลายศพแล้ว ดิฉันได้ยินคนแถวนั่นเขาพูดว่าเจ้าของตึกเขาบนบานผีว่าจะถวายชีวิตคน แต่ดิฉันก็ไม่ได้สนใจหรือนึกกลัวใดๆ
ระหว่างเดินกลับบ้านในคืนนั้นดิฉันมีความรู้สึกเหมือนมีคนเดินตามแต่พอหันไปก็ไม่เจอ ดิฉันเลยพูดเบาๆ ว่า
“ถ้าจะตามมาก็ตามมาดี ๆ อย่ามาหลอกหลอนกันเลย”
พอพูดเสร็จ ดิฉันก็ไม่ได้ยินเสียงเดินตามอีก
พอมาถึงบ้านดิฉัน รู้สึกไม่สบาย
.
.
.
วันต่อมา ฉันออกมาขายของที่ร้าน ระหว่างนั้นดิฉันมีความรู้สึกไม่สบายเหมือนมีคนกดหัวอยู่ตลอดเวลาดิฉันเล่าให้แม่ฟัง แม่กลับหาว่าดิฉันขี้เกียจขายของ เลยตัดความรำคาญบอกให้ดิฉันกลับไปนอน
.
.
.
พอมาถึงบ้าน ดิฉันขึ้นไปส่องกระจกบนบ้าน รู้สึกว่าหน้าดำมากเป็นอะไรก็ไม่ไม่รู้
แม่พาดิฉันไปหาหมอ แต่ก็ไม่เป็นอะไร หมอบอกว่าเป็นโรคปวดหัวธรรมดา
.
.
.
วันต่อมา ญาติฉันมาหาเขามีเรื่องทุกข์ใจอยากให้แม่พาไปหาหมอทรงเจ้าดูดวงให้หน่อย ดิฉันไปกับแม่ด้วยพอไปถึงหมอก็บอกว่า เอาใครมาด้วย ดิฉันบอกว่ามากับแม่และญาติแค่ 3 คนเอง หมอพูดกับฉันว่า
“เอ็งโดนผีมันแฝงร่าง ต้องรีบเอาออก”
ติฉันกลับไม่รู้สึกอะไร แต่อยากจะออกไปจากที่นั่น หมอบอกว่าต้องอาบน้ำมนต์
ระหว่างที่รดน้ำมนต์นั้น ดิฉันรู้สึกโกรธมากและอยากหนีจิตใจสับสนว้าวุ่น รู้สึกเบื่อขี้หน้าคนทรงยิ่งนัก
หมอถามฉันว่า
“รู้สึกเบาตัวกว่าเดิมหรือเปล่า”
“รู้สึกเฉย ๆ” ดิฉันตอบแบบไม่พอใจ
หมอเลยเดินมาหาฉันและทุบที่หลัง บอกให้ฉันอ้าปากไว้ด้วย ทุบอยู่นานและบอกว่ามันไปแล้ว และทำสายสิญจน์ให้ฉันเส้นหนึ่ง ไว้ผูกข้อมือพระหลวงพ่อองค์หนึ่ง และผ้ายันต์
“อย่าถอดออกจากหัวและสายสิญจน์อย่าไปตัด รอให้มันขาดเอง ถ้าถอดออกเมื่อไหร่หมอก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
.
.
.
พอกลับบ้าน ดิฉันรู้สึกสดชื่นขึ้นมาก ตั้งแต่วันนั้นมา ดิฉันก็ไม่รู้สึกว่ามีคนกดหัวอีกแล้ว
.
.
.
ตอนนี้สายสิญจน์เส้นนั้นขาดไปแล้ว ที่สำคัญตอนกลางคืนดิฉันจะไม่เดินผ่านตึกที่มีคนตายหลายศพเป็นอันขาด กลัวว่าผีมันจะตามมาที่บ้านอีก
สิ่งใดก็ตามที่มองไม่เห็นอย่าลบหลู่ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อมันเกิดขึ้นกับตัวเองจะอธิบายให้ใครฟังและเข้าใจเราไปด้วยก็ยาก เพราะเขาไม่ได้เกิดอาการอย่างเรา ไม่ได้มีความรู้สึกอย่างเรา แม้พูดไปก็ลำบาก
โดยเฉพาะเวลามีอะไรมาแฝงอยู่ในร่างกายเรานั้น มันจะมีความคิดความอ่านเป็นสองฝ่ายเสมอ บางครั้งเหมือนเราคิดบางครั้งไม่เหมือนเราคิด ความคิดแต่ครั้งล้วนน่าตกใจทั้งสิ้น
เมื่อมานั่งย้อนคิดดูยิ่งน่ากลัวว่าตอนนั้นเราคิดเช่นนั้นได้อย่างไร โชคดีที่ได้รักษาตัวทัน ถ้ามันแฝงอยู่ในร่างกายเรานานวันเข้า เราจะเป็นอย่างไรหนอ เพราะเราเป็นปกติในสายตาของคนทั่วไป
ดิฉันคิดว่ายังมีอีกหลายคนที่เป็นแบบฉันในปัจจุบัน…แต่ยังไม่มีใครทราบเท่านั้นเอง