Site icon เติมฝัน (TermFun) | อ่านนิยายสั้นออนไลน์ฟรี

YOU TOO #ตัวยูที่แปลว่าของกูอ่ะนะ : โลมาตัวสีเขียวที่ว่ายอยู่ในทะเลสีชมพู

โดย : โลมาตัวสีเขียวที่ว่ายอยู่ในทะเลสีชมพู
ลิขสิทธิ์ : Magic Time Media & เติมฝัน (termfun.com)

เสียงนาฬิกาปลุก ที่ผมตั้งไว้เมื่อคืนดังขึ้นไม่หยุดเมื่อถึงเวลา 06:30 ซึ่งเป็นเวลาที่ผมต้องตื่นไปเรียน แต่วันนี้ผมกลับไม่ได้ยินมันซะอย่างนั้น ถึงได้ตื่นขึ้นมาเอาตอนนี้

เมื่อผมเคลื่อนมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่อยู่ข้างเตียงมาดูเวลา ก็พบว่าตอนนี้มันเป็นเวลาแปดโมงสี่สิบแล้ว

“เชี่ยยยยย แปดโมงสี่สิบ” ทันทีที่ลุกออกจากที่นอนผมก็รีบเข้าไปอาบน้ำ จัดการตัวเองให้เรียบร้อยเพื่อที่จะเข้าเรียนคาบเช้าตอน 9 โมง ถึงแม้ว่าจะสายแต่ขอให้เข้าไปทันเช็คชื่อก็ยังดี
.
.
.

ผมคือ ตัวยู นักศึกษาปี 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ด้วยความที่ผมค่อนข้างที่จะอ๊องๆ เลยเป็นคนซึนของเพื่อนที่คณะ แต่นอกจากผมจะอ๊องแล้ว ผมยังขี้ตกใจมากอีกด้วยครับ เลยต้องตั้งเสียงนาฬิกาปลุกเบาๆ จนบางที มันก็เบาจนผมไม่ได้ยินเลยทำให้ตื่นสายอย่างวันนี้

ผมจัดการแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยและออกมาจากบ้านในสภาพที่เสื้อไม่ได้รีด เน็คไทไม่ได้ใส่ ส่วนรองเท้า หยิบคู่ไหนได้ก็หยิบมาใส่ก่อน ขอแค่ผมไปเรียนทันเช็คชื่อคาบเช้าเป็นพอ
.
.
.

10:30

มหาวิทยาลัย Y

“ จารย์เช็คชื่อยังวะ” ผมเอ่ยขึ้นถาม เก้า เพื่อนสนิททันทีที่มาถึง

“ยังเลย ตื่นสายหรอวะ” เก้าละสายตาจากสไลด์อาจารย์แล้วหันมาตอบผม

“นิดหน่อย”

“กูว่าไม่หน่อยอ่ะ แล้วแต่งตัวอะไรของมึงมะเนี่ย เสื้อก็ไม่รีด แถมยังใส่ผ้าใบสีแดงมาอีก” ออดี้ เพื่อนสนิทอีกคนของผมที่จากเดิมมันเคยนอนอยู่ ตอนนี้ได้ตื่นขึ้นมามองผมพร้อมกับทักเอ่ยขึ้น

“พอดีกูรีบ หยิบอะไรได้ก็หยิบมาก่อน”

“ถ้าเป็นวันอื่นกูคงจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ แต่วันนี้มีรับน้องนะ” เก้าที่นั่งอยู่ข้างๆผมพูดขึ้นด้วยสีหน้างุนงง

“เชี่ยยยยยยยย กูลืมว่ะ” ซวยแล้วไง ผมลืมสนิทเลยว่าวันนี้มีรับน้อง

“นักศึกษาตรงนั้น ถ้าไม่เรียนก็ออกไปค่ะ มันเสียงดังรบกวนเพื่อน” สิ้นสุดเสียงของอาจารย์ บทสนทนาของพวกเราก็เงียบลง ผมได้แต่ภาวนาให้รุ่นพี่เห็นใจ ยังไงวันนี้ก็เป็นวันรับน้องวันแรก พี่เขาคงไม่โหดร้ายกับผมมากหรอกมั้งครับ

16:30

ลานเกียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์

“ เน็คไทหายไปไหนครับ ทำไมถึงไม่ใส่มา” ดูเหมือนว่าคำภาวนาของผมมันจะไม่เป็นจริงซะแล้ว เมื่อพี่ระเบียบหน้าหล่อคนนี้ได้เอ่ยทักขึ้น

“…” ผมกลัวนะ ทำไมพี่เขาต้องมองด้วยสายตาจะฉีกผมเป็นชิ้นๆแบบนั้นล่ะ

“รองเท้าหนังหายไปไหน ทำไมถึงใส่ผ้าใบสีแดง” เขายังคงเอ่ยถามผมต่อด้วยแววตาดุและน้ำเสียงนิ่งเรียบที่แสนเย็นชา

“…” แงงงงงงงงงงง แม่ครับผมอยากกลับบ้าน

“แล้วนี่ หัวเข็มขัดก็ไม่ใช่ของมหาวิทยาลัย”

“…”

“ตกลงคุณเรียนมอนี้จริงๆใช่ไหม ห๊า !!!!”

“…” แล้วทำไมพี่เขาต้องตะโกนด้วยวะ ผมสะดุ้งไปหมดแล้วนะเนี่ย

“ถามอะไรก็ไม่ตอบ งั้นคุณก็ไปบูมรอบต้นสนอินเดียแทนแล้วกัน เดี๋ยวนี้ !! ปฏิบัติ !!!”

“…” ห้ะ อะไรของพี่มันวะ อยู่ๆก็สั่งผมไปบูมอะไรของมันก็ไม่รู้

“ยังอีก !!!”

“ครับๆ ไปแล้วครับ” หลังจากที่ผมตอบรับพี่มันเสร็จก็รีบเดินมาหน้าต้นสนอินเดียที่พี่มันชี้มาเมื่อกี้อย่างงงๆ เขาบอกให้ผมทำอะไรนะ บูม บูมอะไรวะ ?? เนื้อบูมก็ยังไม่ได้สอน สงสัยพี่เขาจะลืม เดี๋ยวผมบอกพี่เขาเองล่ะกัน

“คือพี่ยังไม่…” แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคพี่มันก็แทรกขึ้นมาซะก่อน

“ยืนนิ่งอยู่ทำไม ทำไมไม่ร้องบูม !!!! ”อ้ากกกก ทำไมต้องตะโกนใส่ผมด้วยครับคนยิ่งตกใจง่ายอยู่ด้วย

“ร้องบูมเดี๋ยวนี้ !!!!!!!!!!!” และพี่มันยังตะโกนใส่ผมอย่างต่อเนื่อง

“ อ้ากกกกกกกกกก บูม ชา กา ลา ก้า ! บูม ชา กา ลา ก้า ! บูม ชา กา ลา ก้า ! ” ด้วยความที่เป็นคนตกใจง่ายผมเลยตะโกนท่อน บูมชากาลาก้า ในเพลง Fantastic baby ของวง BIGBANG เพลงฮิตที่ไอ้เก้าเพื่อนสนิทของผมชอบเปิดฟัง ก็ผมไม่รู้เนื้อบูมหนิครับ แล้วทั้งหัวผมก็มีแต่ บูมชากาลาก้า เนี่ยยยยยยย แถมยังอายมากๆ ด้วยเพราะตอนนี้คนทั้งลานเกียร์มองมาที่ผมกับพี่มันกันหมดแล้ว

“มึงร้องอะไร ห้ะ !!!!!!!!!” ฮรืออออออออออ แม่ครับพี่เขาตะโกนใส่ผมอีกแล้วววววววว

วันนี้ผมยังโชคดีที่มีพี่สตาฟปี 3 เดินมากระซิบบอกพี่ระเบียบคนนั้นว่าให้ปล่อยผมไปเถอะ ยังไงวันนี้ก็เป็นวันรับน้องครั้งแรก แค่ตักเตือนก็พอ พี่หน้าหล่อคนโหดถึงยอมปล่อยผมให้กลับเข้าที่นั่งสักที

“กูขำชิปหาย 5555555555555555” เก้าเอ่ยขึ้นทันทีที่ผมนั่งลง

“บูมชากาลาก้า ว่าซ๊านนนนนนนน 55555555555” ออดี้พูดขึ้นแซวผมอย่างขำขัน ไอ้พวกนี้หนิ

“พวกมึงพอเลยนะ ไม่ช่วยกูแล้วยังจะมีหน้ามาแซวอีก” ผมว่าตอบพวกมันด้วยสีหน้าน้อยใจ

19:00

Beef café

ร้านหมูกระทะ

หลังจากรับน้องเสร็จพวกเราก็ตกลงกันไว้ว่าจะไปกินหมูกระทะต่อ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการรับน้องวันแรก ผมว่าจริงๆ แล้วพวกมันอยากกินกันเองมากกว่า ไม่ใช่เพราะฉลองรับน้องอะไรนั่นหรอก

“มึงจะเอาไรป่ะ เดี๋ยวกูกับไอ้เก้าจะเดินไปตักเนื้อ” ผมเอ่ยขึ้นถามออดี้เพื่อนสนิท

“ขอสามชั้นเยอะๆ” มันว่าตอบผม พลางก้มกดโทรศัพท์มือถืออยู่

“เคๆ” ผมตอบรับมันและเดินไปตักเนื้อ
.
.
.

// [ BM’s Part ]

“มึงจะกินร้านไหนสรุป” ผมถาม สแน็ค ออกไปอย่างเนือยๆ

“ไป Beef café กันมึง อยากกินหมูทะ”

“เคๆ งั้นเดี๋ยวกูบอกน้องแปปนึงว่าจะกลับก่อน” ผมตอบเพื่อนสนิทแล้วก็จัดการส่งข้อความไปหาเจ้าออดี้ น้องชายสุดที่รักของผมทันที

.
.
.

19:30

Beef café

“อ้าว พี่บีเอ็มไหนบอกจะกลับก่อนทำไมมาอยู่นี่” ออดี้มันเอ่ยทักผมขึ้นเมื่อผมเดินเข้ามาในร้าน

“ ก็กูหิว ขอกินข้าวก่อนกลับไม่ได้หรอวะ แล้วมึงมากับใคร”

“ผมมากับเพื่อนอ่ะ นู้นไง” มันว่าพร้อมกับชี้ไปทางเด็กหนุ่มตัวเล็กเสื้อยับๆ ใส่รองเท้าผ้าใบสีแดงที่ยืนอยู่ตรงนั้น นั่นมันไอ้เด็กที่ผมสั่งให้ไปบูมรอบต้นสนอินเดียวันนี้หนิ ทำไมไอ้เด็กซึนคนนั้นถึงมาเป็นเพื่อนกับคนคูลๆ อย่างน้องผมได้วะ

[ จบ BM’s Part ] //

“อ้าว นี่มันน้องบูมชากาลาก้าหนิ” พี่คนนึงที่ยืนอยู่ข้างพี่ระเบียบเมื่อตอนเย็นเอ่ยขึ้น

“สวัสดีครับ” ผมทักทายพี่เขาด้วยความงงแต่ใบหน้ายังยิ้มสดใสอยู่

“พี่ชื่อ สแน็คนะ ส่วนไอ้นี่ บีเอ็ม” พี่เขาแนะนำตัวกับผมอย่างยิ้มแย้ม ผิดกับคนข้างๆ ที่เอาแต่ทำหน้านิ่ง

“งั้นนั่งด้วยกันไหมครับ” ออดี้เอ่ยชักชวนขึ้น

“ไม่ / เอาสิ” พี่สองคนตอบขึ้นพร้อมกัน แต่คำตอบนี่ไปคนละทางเลย

“สรุปยังไงหนิเฮีย จะนั่งหรือไม่นั่ง” ออดี้ถามย้ำอีกครั้ง

“เออๆ กูนั่งกับมึงก็ได้” แล้วเราทั้งห้าคนก็นั่งกินหมูกระทะด้วยกัน ท่ามกลางควันจากเตาที่กำลังลอยขึ้นมาปะทะหน้าผมเต็มๆ

“ออดี้ มึงสลับที่กับเพื่อนมึงดิ๊ กูสงสารมัน ควันเต็มหน้าล่ะนั่น” พี่บีเอ็มที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมพูดขึ้นด้วยสีหน้าและแววตานิ่งเรียบอย่างที่เขาชอบทำ

“อ้าว ทำไมผมต้องย้ายอ่ะ เฮียก็ย้ายมาเองดิ” ออดี้ตอบกลับพี่ชายของมันไปอย่างหน้ามึน

“เออ กูไปเองก็ได้วะ” หื้ม ??? พี่บีเอ็มจะมานั่งแทนที่ผมทำไมวะ ควันก็เยอะ

“ครับ !?”

“มึงก็ลุกๆ ไปเถอะ” เก้าที่นั่งเงียบอยู่นานก็พูดขึ้น แต่มือมันยังคงตักหมูเข้าปากไม่หยุด

ผมจัดการเปลี่ยนที่นั่งกับคนตรงข้ามเรียบร้อย แล้วย่างหมูกินอย่างเพลินเพราะไม่มีควันมาก่อกวนการกินของผมอีกแล้ว สงสารแต่พี่บีเอ็มตอนนี้ที่นั่งสำลักควันอยู่ ไม่รู้จะอยากเปลี่ยนที่กับผมไปทำไม ถ้าตัวเองจะต้องมาลำบากแบบนี้ ผมล่ะกลัวพี่มันเป็นมะเร็งปอดจริงๆ

2 วันต่อมา

16:30

ลานเกียร์ คณะวิศวกรรมศาสตร์

“ วันนี้รับน้องเป็นวันสุดท้ายแล้วจะมีกิจกรรมสานสัมพันธ์พี่น้อง เชิญพี่ปีสามครับ” เสียงของพี่สตาฟปี 2 พูดขึ้น

“พี่จะทำการแบ่งน้องๆออกเป็นกลุ่มนะครับ โดยแต่ละกลุ่มจะมีพี่ปี 2 อยู่ด้วย เชิญพี่ๆเ ดินเข้าไปหาน้องกลุ่มตัวเองครับ”

ทันทีที่พี่สตาฟปี 3 พูดจบรุ่นพี่ปี 2 ก็ทยอยเดินเข้ามาหาพวกผมที่นั่งอยู่กลางลานเกียร์แห่งนี้ และพี่บีเอ็มกับพี่สแน็คเพื่อนของเขาก็เหมือนจะเดินเข้ามาทางผมที่นั่งอยู่กับเพื่อนสนิทสองคน ขอร้องเถอะครับ อย่าให้พี่สองคนนั้นมาอยู่กลุ่มผมเลย

“ เจอกันอีกแล้วนะครับ น้องตัวยู” อีกแล้วหรอวะ ทำไมผมถึงหนีพี่บีเอ็มไม่พ้นสักทีเนี่ย

“ไฮ~” พี่สแน็คที่เดินมาด้วยกันก็เอ่ยทักทายขึ้น

“น้องๆ หากลุ่มกันเจอหมดแล้วนะครับ พี่จะเริ่มทำกิจกรรมแรกเลยนะ” พี่สตาฟปีสามคนเดิมยังคงทำหน้าที่พิธีกร ได้พูดขึ้นอีกครั้ง

“จัดไปคร้าบบบบบบบบ” พี่ปีสองกรี๊ดกร๊าดขึ้น
.
.
.

ตอนนี้พวกเราทั้งหมดกำลังทำกิจกรรมวิ่งเหยียบลูกโป่งกันอย่างสนุกสนานอยู่กลางลานเกียร์ คนอื่นกรี๊ดกร๊าดกันใหญ่ วิ่งเหยียบลูกโป่งไม่หยุด แต่ไม่ใช่ผมครับ เพราะผมเป็นคนที่ขี้ตกใจมาก ดังนั้นจึงมายืนหลบอยู่หลังต้นไม้แบบนี้

“มึงมายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ไปเล่นกับเพื่อนเขาสิ” พี่บีเอ็มเดินเข้ามาทักผมพร้อมกับเอ่ยขึ้น

“ไม่เอาอ่ะ ผมขี้ตกใจ”

“กลัวอะไรวะ มีกูอยู่นี่ทั้งคน” คนตรงหน้าพูดขึ้นด้วยแววตานิ่งเรียบ จนผมดูไม่ออกว่าพี่มันรู้สึกอะไรอยู่กันแน่ แต่ที่แน่ๆ ผมรับรู้ได้ว่าตอนนี้ใจผมมันกำลังเต้นแรงกับประโยคเมื่อกี้ ใครบอกใครสอนให้พี่มันพูดออกมาหน้าตาเฉยแบบนั้นวะ

“งั้นไปก็ได้ครับ” สิ้นสุดเสียงของผม พี่บีเอ็มก็จูงมือผมเข้าลานเกียร์ไปหาเพื่อ ที่กำลังเล่นเหยียบลูกโป่งอย่างเมามันอยู่ตอนนี้

“อ้าว อยู่นี่เองหรอเพื่อนรัก” เก้าเดินเข้ามาหาผมแล้วเอ่ยทักด้วยสีหน้าแววตา เหมือนมันกำลังวางแผนชั่วอะไรอยู่ พอจับสังเกตได้แบบนี้ผมจึงอดที่จะเอ่ยแซวมันออกไปไม่ไหว

“มึงกำลังวาง—อ้ากกกกกกกกกกกกกก!!!” แต่ยังพูดไม่จบประโยคไอ้เก้าก็เหยียบลูกโป่งของผมไปเต็มตีน มันเสียงดังขึ้นจนทำให้ผมตกใจ ไอ้นี่หนิ รู้ว่าผมขี้ตกใจแล้วยังจะแกล้งอีก

“มึง…กอดกูทำไมวะตัวยู” ชิปหายแล้ววววววว นี่ผมตกใจจนเผลอกระโดดกอดพี่บีเอ็มเลยหรอวะเนี่ย

“โทษทีพี่ ผมตกใจอ่ะ” ผมตอบพี่มันไปอย่างเขินอาย จะไม่ให้อายได้ไงครับ อยู่ดีๆ ก็ไปกระโดดกอดเขาแน่นซะขนาดนั้น

“ พี่ปีสองกับน้องปีหนึ่งตรงนั้นครับ หยุดจีบกันแป๊บนึงได้ไหมครับ” พี่ปีสามที่ถือไมค์อยู่ก็เอ่ยแซวพวกผมขึ้น พี่เขาก็พูดเกินไปครับ ไม่มีใครมาจีบใครหรอก คิดไปเองทั้งน้านนนนนนน

“สีแดงเหลือลูกโป่งน้อยที่สุดต้องโดนลงโทษนะครับ ส่งตัวแทนออกมาได้เลย” พี่พิธีกรเอ่ยต่อ และความซวยกำลังมาเยือนผมเพราะผมอยู่สีนี้ยังไงล่ะครับ

“เฮียกับไอ้ตัวยูออกไปเลย ข้อหาที่แอบหลบมุมไปจีบกัน ไม่ยอมมาช่วยทีม” ออดี้ว่าขึ้น

“ได้ไงวะ” ผมโวยวายทันทีเลยครับ มันก็รู้นะว่าผมทำกิจกรรมนี้ไม่ได้เพราะอะไร ก็ยังยัดเยียดให้ผมไปโดนทำโทษอีก

“เลือกกันนานจังวะ เอาเป็นว่ากูเลือกให้เลยล่ะกัน บีเอ็ม มึงกับเด็กของมึงออกมาเลยล่ะกัน ข้อหาที่มัวแต่จีบเด็กจนไม่ช่วยทีม” อ่ะ พี่ปีสามนี่ก็อีกคน แล้วอีกอย่างนะ ผมใช่เด็กพี่บีเอ็มที่ไหนกัน

“บทลงโทษก็คือ………” พี่พิธีกรพูดขึ้นพลางจับฉลากในกล่อง

“ให้ดีดปากเพื่อนอีกคนที่ออกมาด้วยกัน” ห้ะ!!! ทำไมบทลงโทษมันแปลกๆ วะ ผมสงสัยอยู่ในใจแต่ก็ยอมทำตาม เอาไว้ผมจะดีดปากพี่เบาๆ นะพี่บีเอ็ม

“โอ้ยยยยยย มึงทำอะไรเนี่ย” พี่บีเอ็มโอดครวญขึ้นหลังจากที่ผมใช้นิ้วดีดเข้าไปที่ริมฝีปากพี่มันเต็มๆ

“อ้าว ก็พี่ปีสามบอกให้ผมดีดปากพี่ไง”

“เขาบอกให้มึงดีดหน้าผากกู ไม่ใช่ดีดปาก” แงงงงงงงงงง ผมไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายพี่มันนะครับ ก็ผมได้ยินแบบนั้นจริงๆ

สงสัยไมค์กูมันขาดช่วงไปมั้งเมื่อกี้ น้องปีหนึ่งของมึงถึงได้ยินผิด” พี่ปีสามพูดขึ้นแล้วเอ่ยต่อ

“พวกพี่ขอจบกิจกรรมรับน้องไว้เพียงเท่านี้นะครับ วันนี้ถ้าใครว่างเชิญมาสังสรรค์ที่ร้าน NO – Lหลังมอได้เลย” หลังจากที่พี่ปีสามพูดจบก็มีเสียงฮือฮาขึ้นมามากมาย ทั้งเด็กปีหนึ่งและปีสองต่างพากันตื่นเต้นกับค่ำคืนที่กำลังจะมาถึง
.
.
.

21:00

ร้าน NO – L

“อ้าว โชนนนนนนนนนนนน” บัดนี้ร้าน NO – L ก็ได้เต็มไปด้วยนักศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ ทั้งปีหนึ่ง สอง สาม ก็ต่างมาสังสรรค์ด้วยกันที่ร้านนี้ตามคำเชิญชวนของพี่พิธีกรคนนั้น

“เฮียทางนี้ๆ” ออดี้โบกมือเรียกพี่บีเอ็มพี่ชายของมัน และเขากำลังเดินมาทางนี้ ทางที่เป็นโต๊ะของพวกผมที่มี ออดี้ ผม และเก้านั่งอยู่

“หวัดดีครับ” พี่สแน็คที่เดินมากับพี่บีเอ็มเอ่ยทักผมขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

“เบาได้เบาครับพี่ เจ้าของเขาจ้องตาเป็นมันแล้วนะนั่น” เก้าเอ่ยแซวพี่สแน็ค แต่เดี๋ยวก่อนอะไรคือจ้องตาเป็นมัน แล้วใครเป็นเจ้าของใครวะ พูดอะไรของมันเนี่ย ผมไม่เข้าใจ

“อะไรของมึงวะเก้า” ผมเอ่ยถามเพื่อนสนิทอย่างงุนงง

“ตอนไหนมึงจะเลิกซึนสักทีวะ” พี่บีเอ็มที่พึ่งนั่งลงข้างผมก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ เอ้า เป็นอะไรของเขาอีกเนี่ย

ค่ำคืนสนุกสนานที่บรรยากาศครึกครื้น เต็มไปด้วยเสียงคุยกันเจี๊ยวจ๊าวของนักศึกษาผสมกับเสียเพลงที่ดังกระหึ่มอยู่ตอนนี้ ต่างพาให้เหล่าวิศวะยกเหล้าเข้าปากอย่างไม่ยั้งมือ

“เด็กๆ เรามาเล่นเกม truth or dear กันไหม” พี่สแน็คพูดขึ้นด้วยแววตาแพรวพราว และมองไปทางพี่บีเอ็ม พวกเขาสองคนต้องมีแผนอะไรกันอยู่แน่ๆ ผมดูออก

“เอาดิ” นั่นไง !!! ผมว่าแล้ว สองคนนี้ต้องมีแผนกันแน่ๆ

“งั้นกูจะเริ่มหมุนขวดแล้วนะ” พี่สแน็คเอ่ยขึ้นพร้อมกับใช้มือหมุนขวดเหล้าเปล่าที่พวกเราพึ่งกินหมดไปลงบนโต๊ะ และขวดเหล้านั้นก็หยุดหมุน มันกำลังชี้มาทางผม………

“ truth or dear”

“dear” คนคลูๆ อย่างผมก็ต้องเลือกอะไรที่มันท้าทายอยู่แล้วป่ะ เรื่องอะไรจะยอมคายความลับออกไปล่ะ ขืนโดนคำถามว่ารู้สึกยังไงกับคนที่นั่งข้างๆ แบบนั้นผมคงได้อกแตกตายแน่นอน

“หอมแก้มไอ้บีเอ็ม”

“พี่!!!!!!! คำสั่งอะไรเนี่ยยยยยยย” ผมก็งงตาแตกสิครับ อยู่ดีๆ พี่เขาก็สั่งคำสั่งอะไรไม่รู้ ให้ผมไปหอมแก้มพี่บีเอ็มเนี่ยนะ ให้ตายยังไงก็ไม่ทำ ไม่เด็ดขาด!!!!

“มึงไม่กล้า ?? หรือคิดอะไรกับมันรึไง” โห้ววววววว หยามผมมากๆเลยครับ ยอมไม่ได้ และเพื่อความแนบเนียนที่ผมแอบหวั่นไหวกับพี่บีเอ็มอยู่ ผมจึงต้องทำเพื่อปกปิดความจริงเอาไว้ ที่จริงแล้วไม่ได้อยากทำมันสักนิดเลยนะครับทุกคน…จริงๆ นะ

“//ฟอดดดดดดดดดดด” และผมก็ยื่นจมูกเข้าไปกดกับแก้มขาวๆ ของพี่บีเอ็มทันที

“เชี่ยยยยยยยยยยยยยยยยยยย เด็กมึงมันใจเด็ดจริงว่ะบีเอ็ม กูพูดเล่นๆ ไม่คิดว่ามันจะทำจริงๆ” พี่สแน็คพูดขึ้น

“ เบาได้เบาครับเพื่อน อะไรมันจะขนาดนั้นอ่ะ” เก้าว่าขึ้นพร้อมกับยิ้มแซว

“แหมมมม พี่ผมก็ไม่เบาเลยนะครับ โดนเด็กหอมแก้มแค่นี้ต้องยิ้มหน้าบานขนาดนั้นเลยหรอ” ออดี้เอ่ยแซวพี่ชายของมันด้วยสีหน้าหมั่นไส้สุดๆ

“แล้วทำไม ก็กูชอบอะ” ใจเย็นนะตัวยูพี่เขาอาจแค่ชอบที่โดนหอมแก้มไม่ได้ชอบเรา ไม่ต้องใจเต้นขนาดนั้น หายใจเข้าลึกๆ พยายามควบคุมตัวเองเข้าไว้

“ใจเย็นๆ สิวะน้องตัวยูเขินจนแก้มแดงหมดแล้วนะนั่น” พี่สแน็คเอ่ยแซวขึ้นอีกครั้ง

“ตัวยูที่แปลว่าของกูอ่ะหรอ” พี่มันเอ่ยขึ้นสวนพี่สแน็ค แต่ตายังมองมาทางผมด้วยสายตาละมุนที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอยู่ มันทำให้ผมเขินจนแทบจะมุดหน้าลงไปใต้โต๊ะอยู่แล้ว

“แหม เดี๋ยวนี้แค่กูเรียกชื่อ ยังต้องหึงขนาดนี้เลย ถ้าเป็นแฟนจะไม่ล่ามโซ่เอาไว้ที่ห้องเลยหรอวะ” พี่สแน็กพูดขึ้น

“ถ้าได้เป็นแล้วกูอาจจะทำอย่างงั้น เพราะหวง หวงมากด้วย” ประโยคแรกพี่มันเอ่ยตอบพี่สแน็ค แต่ประโยคหลังนี่พี่บีเอ็มตั้งใจพูดกับผมแน่นอนครับ เพราะพี่มันเอี้ยวตัวมากระซิบพูดขึ้นข้างหูผมเต็มๆ ให้ตายเถอะ ผู้ชายคนนี้จะทำให้ใจผมมันสั่นไปถึงไหน แค่นี้ใจผมมันก็เต้นจนแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้ว
.
.
.

“พี่ชอบผมหรอครับ” ผมถามคนข้างๆ ออกไปด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เพราะความเขินที่ก่อตัวอยู่ในใจ

ทำขนาดนี้แล้วยังไม่เลิกซึนอีกหรอครับ เด็กน้อย” พี่มันพูดขึ้นพลางเอามือมาลูบหัวผมอย่างเอ็นดู มันทำให้ผมเขินจนต้องมุดหน้าลงไปที่อกของคนข้างๆ เลยล่ะครับ

การที่มีคนที่เราชอบอยู่ มาบอกว่าชอบเราเหมือนกันนี่ มันทำให้ผมรู้สึกใจฟูมากๆ ใครจะไปคิดล่ะครับ ว่าผมจะสมหวังในความรักครั้งนี้

Exit mobile version