นพคือคนแรกที่ถูกสอบปากคำ
“คุณคืออดีตแฟนของผู้ตายสินะครับ” ผู้หมวดภาธรเริ่มการสอบสวน
“ใช่ครับ” นายนพตอบออกมา
“คุณได้ไปหาผู้ตายหรือเปล่าวันที่เกิดเหตุ”
“แน่นอนว่าผมไป”
“คุณไปทำอะไร”
“ผมจะไปขอเธอคืนดี แต่ดูเหมือนเธอจะโกรธผมไม่น้อย เธอไม่ยอมพูดกับผมเลยตอนที่ผมไปหา แถมยังปิดหน้าปิดตาอีก” นพเล่า
“ขอคืนดี? ทำไมคุณต้องขอผู้ตายคืนดีด้วยล่ะ”
“ก็เพราะผมรักเขาไง” นพเอ่ยตอบอย่างไม่พอใจนักที่เขาถามเช่นนั้น
“แต่ที่มีดมีรอยนิ้วมือของคุณอยู่ คุณจะอธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างไรครับ” ภาธรเอ่ยถามเสียงเรียบ
“จะบ้าหรอคุณตำรวจ จะไปมีรอยนิ้วมือของผมอยู่ได้ยังไง อย่ามาใส่ร้ายผมนะ” นพโวยวาย
“ผมไม่ได้ใส่ร้าย ที่มีดนั่นมีรอยนิ้วมือของคุณอยู่จริงๆ”
“ผมไม่รู้เรื่องนะ เอาจริงๆแล้ววันนั้นตัวผมยังไม่ได้จับอะไรที่เป็นของมีคมเลยด้วยซ้ำ”
“แต่ผลตรวจสอบมันออกมาเป็นเช่นนี้”
“พวกคุณตรวจสอบกันผิดแล้วล่ะ ผมไม่รู้เรื่องนะ!”
.
.
.
การสอบปากคำของผู้ต้องสงสัยคนแรกจบลงไปพร้อมกับเสียงโวยวายของนพที่บอกว่าตนไม่รู้เรื่อง ผู้หมวดภาธรตั้งข้อสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง… นพบอกว่าผู้ตายไม่พูดไม่จาอะไรเลยงั้นหรือ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นกัน
.
.
.
การสอบปากคำผู้ต้องสงสัยคนที่สองเริ่มต้นขึ้น มิวที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้หมวดภาธรดูจะไม่ชอบใจเท่าไหร่นักแต่เธอก็ไม่ได้ขัดอะไร
“คุณเป็นเพื่อนกับผู้ตายใช่ไหมครับ” ผู้หมวดภาธรเริ่มต้นสอบปากคำ
“ใช่ค่ะ” เธอตอบ
“เมื่อวานนี้คุณได้ไปหาผู้ตายหรือเปล่า”
“ใช่ ฉันเอาเงินไปคืน”
“เอาเงินไปคืนหรอครับ”
“ใช่ ฉันเก็บเงินได้แล้วจึงจะเอาเงินไปคืนเพียงฟ้า เธอจะได้เลิกด่าฉันสักทีว่าไม่ยอมคืนเงิน” มิวเอ่ยเล่า
“แต่ที่มีดที่ใช้เป็นอาวุธ มีรอยนิ้วมือของคุณด้วยนะครับ”
“จะไปมีได้ยังไงกันคะ ในเมื่อฉันไม่ได้เข้าไปในห้องของยัยเพียงฟ้าสักหน่อย ไม่เชื่อก็ไปดูกล้องวงจรปิดสิคะ!” มิวโวยวาย
“กล้องวงจรปิดน่ะผมดูแล้วครับ แล้วก็เห็นคุณยืนอยู่แค่ที่หน้าห้องจริงๆ”
“เช่นนั้นแล้วจะมากล่าวหาฉันได้ยังไงคะ ฉันไม่ได้ทำนะ แค่เอาเงินไปคืนก็เท่านั้นเอง” มิวยังคงโวยวายไม่เลิก
“เอาล่ะครับๆ งั้นช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าเมื่อวานคุณเพียงฟ้าพูดอย่างไรกับคุณบ้าง”
“เธอไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น รับเงินเสร็จแล้วก็ปิดประตูใส่ฉันทันที” มิวเอ่ยเล่าด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ผู้หมวดภาธรสอบถามข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ จากเธออีกนิดหน่อยก่อนจะเริ่มสอบปากคำผู้ต้องสงสัยคนต่อไปนั่นก็คือข้าว… ซึ่งเป็นคนที่น่าสงสัยมากที่สุด