อีกไม่ถึงสอง ชม . เครื่องก็เริ่มแล่นลงสู่ สนามบินเมืองโอ้คแลนด์ ประเทศนิวซีแลนด์
ทีมงานทุกคนหยิบเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอสวมทับชุดเดินทาง เตรียมลงจากเครื่อง เพราะทางกับตันได้ประกาศแจ้งว่า ขณะนี้บริเวณสนามบินมีลมแรงและอุณหภูมิอยู่ที่ 12 องศา
.
.
.
การทำงานหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป ทีมงานและนางแบบนายแบบ ช่างแต่งหน้าทำผมต่างมีความสนิทสนมกันมากขึ้น มาม่าต้มยำที่พกมาจากเมืองไทย ถูกต้มกินมื้อแล้วมื้อเล่า จนชาวต่างชาติที่มาพักอยู่ใกล้ๆ กันต้องเดินมาตามกลิ่น และหลายคนก็ได้ชิมและตักใส่ถ้วยกลับห้องไป
ความสัมพันธ์ระหว่างวารีกับลุงเนย์ในสายตาผู้อื่นยังคงเป็นปกติ มีแต่วารีและลุงเนย์เท่านั้นที่มักจะคอยสบตา และพยายามหาโอกาสที่จะได้อยู่คู่กัน แต่โอกาสนั้นช่างหายากนัก เพราะทีมงานทุกคนต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา ทั้งเวลาทำงานเวลากินและเวลานอน
วารีนอนคู่กับหัวหน้าฝ่ายแฟชั่นซึ่งเป็นเพื่อนซี้ และเหมือนเธอจะรู้ว่าลุงเนย์คิดอะไรกับวารีอยู่ ทุกครั้งที่ลุงเนย์เข้าใกล้วารี เธอก็จะกระโดดเข้าขวางแบบเกรียนๆ และกีดกันไม่ให้อยู่ใกล้กันอย่างเห็นได้ชัด
.
.
.
จนกระทั้งคืนหนึ่ง เป็นวันแรกที่ทีมงานต้องเช่ารถ campervan เพื่อเป็นพาหนะในการเดินทางไปยังเมืองต่างๆ เพื่อหาสถานที่ถ่ายแฟชั่น
คืนนั้นทีมงานเดินทางข้ามเมืองและถ่ายแฟชั่นกันจนหมดเรี่ยงแรง เมื่อกลับจากทานอาหารที่ร้านอาหารไทยทุกคนก็อาบน้ำเข้านอนแบบหลับเป็นตาย เพราะวันรุ่งขึ้นก็ต้องเดินทางไปถ่ายแฟชั่นต่ออีกหนึ่งเช็ท ซึ่งยังหาโลเคชั่นไม่ได้
วารีเองก็อาบน้ำและนอนหลับเป็นตาย แล้วจู่ๆ กลางดึกเธอก็รู้สึกเหมือนมีใครมาเลียที่ใบหู พร้อมด้วยเสียงลมหายใจที่ตั้งใจเป่าไปในหูเพื่อปลุกให้เธอตื่น
เมื่อวารีลืมตาขึ้นก็ต้องตกใจ เพราะใบหน้าที่ลอยอยู่ใกล้แค่เอื้อมคือใบหน้าของ ลุงเนย์ที่เธอรอคอยทุกค่ำคืนมาอาทิตย์กว่าๆ แต่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดกัน
ลุงเนย์เอานิ้วชี้มาปิดไว้ที่ปากของเธอให้เงียบเสียง แล้วพยุงเธอลุกขึ้น ทั้งสองมองไปยังหัวหน้าฝ่ายแฟชั่นที่หลับเป็นตาย เสียงกรนเพราะความเหนื่อย เป็นตัวการันตีว่าเธอหลับสนิทจริงๆ