นาเดินลากกระเป๋าขึ้นไปบนเรือลำใหญ่ ที่บรรจุคนได้เป็นเกือบครึ่งพันคน พร้อมด้วยรถราอีกเป็นเกือบครึ่งร้อยคัน เห็นความใหญ่โตของเรือแล้วทำให้เธออดคิดถึงชีวิตสาวออฟฟิตขึ้นมาไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะการที่น้าเดชของเธอไม่ใช่ลูกคนเดียวและต้องกลับไปทำหน้าที่ลูกในบั้นปลายชีวิตสุดท้ายของแม่ของน้าเดชด้วยแล้ว เธอเองคงไม่ต้องทิ้งชีวิตที่กำลังสนุกกับการทำงาน และหน้าที่การงานก็กำลังจะไปได้สวยแบบนี้หรอก จะว่าไปแล้วสินีเองก็นับถือและชื่นชมการที่น้าเดชตัดสินใจกลับไปทำหน้าที่ของลูกที่ดีและพึงกระทำ แทนที่จะใช้เงินจ้างพยาบาลหรือคนดูแลมาดูแลปรนนิบัติแม่ของเขากี่คนก็ได้ เพราะด้วยฐานะของเขา แต่น้าเดชเลือกที่จะทำให้แม่ของเขารู้สึกอบอุ่นที่สุดในชีวิตสุดท้ายของบั้นปลาย และในฐานะคู่ชีวิตอย่างน้าดาวก็ต้องตามสามีไปอยู่ดูแลด้วยเป็นสิ่งที่ควรทำแล้ว
ทันทีที่ถึงที่หมายทำให้นาเริ่มรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของที่นี่ สถานที่ที่เธอจากไปเป็นระยะเวลาถึงสี่ปีเต็ม รีสอร์ทของน้าเดชพัฒนาและเป็นที่รู้จักของนักท่องเที่ยวขึ้นมากทั้งคนไทยเองและคนต่างชาติ
“ขอต้อนรับเจ้าของคนใหม่ของ สกรีนรีสอร์ทจ้าคนสวย”
เสียงหวานๆของน้าดาวของเธอที่กล่าวต้อนรับอย่างเป็นทางการทันทีที่เรือถึงอีกฝั่ง ทำให้นารีบวิ่งเข้าไปกอดน้าสาวด้วยความคิดถึง พร้อมด้วยน้าเขยที่เอามือมาเขย่าศรีษะเธอเบาๆด้วยความเอ็นดู
“ไม่ได้อยากเป็นซะหน่อย ถูกมัดมือชกต่างหาก”
นาพูดออกไปด้วยความรู้สึกในส่วนลึกที่แท้จริง
“อ้าว เดี๋ยวก็มอบให้เป็นสาธารณประโยชน์ซะเลย ถ้าไม่มีใครอยากได้”
น้าดาวทำท่าเอาจริง
“ดีเลยค่ะ ไม่เสียดายจริงๆ เลยค่ะ สาบาน”
นาก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน ก่อนที่จะมีกรรมการอย่างน้าเดชมาห้ามทัพและชวนกันขึ้นรถเพื่อไปยังที่พัก
ทั้งน้าดาวและน้าเดชอยู่สอนงานและแนะแนวทางให้ไม่ถึงสัปดาห์ก็ไปกันทันที โดยทั้งคู่บอกย้ำว่าหน้าที่และบทบาทของนาไม่ใช่เป็นเด็กฝึกงานเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่เธอมาอยู่ในฐานะเจ้าของคนใหม่ เพราะการที่ทั้งคู่ตัดสินทิ้งกิจการนี้ไปเพื่อไปดูแลแม่ของน้าเดชที่แก่ชรานี้ ไม่มีกำหนดว่าจะถึงเมื่อไหร่ และดีไม่ดีเมื่อหมดหน้าที่ของความเป็นลูกแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเขาอาจเบื่อที่จะกลับมาบริหารจัดการที่นี่เสียแล้วก็ได้
นาใช้ชีวิตในการเรียนรู้การบริหารรีสอร์ทอย่างจริงจังและเริ่มรู้สึกสนุกกับหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายนี้เสียแล้วจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กอายุ 26 อย่างเธอจะกลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจอย่างเต็มตัวเสียแล้วในวัยแค่นี้ ในระหว่างที่นากำลังออกเดินเล่นเที่ยวชมชายหาดในยามอาทิตย์อัสดงที่ให้บรรยากาศแห่งการพักผ่อนอย่างที่ซื้อหาแลกมาด้วยเงินไม่ได้ แล้วพลันก็มีผู้หญิงคนนึงเดินเข้ามาเธออย่างคนคุ้นเคย
“นา ใช่นาใช่มั้ยนี่”
นายิ้มให้และกำลังใช้ความคิดว่าบุคคลที่มาทักเธออยู่นี่เป็นเพื่อนสมัยไหน แต่เหมือนจะติดอยู่ที่ปลายปากเพียงแต่ยังนึกไม่ออกในทันที
“จำเราไม่ได้เหรอ เราไก่ไง”
หญิงสาววัยรุ่นราวคราวเดียวกับเธอแนะนำชื่อตัวเอง เพื่อให้เพื่อนสาวได้นึกออก
“อ๋อไก่ นี่เราจำไม่ได้เลย ไก่ดูดีขึ้นมากเลยอ่ะ ขอโทษด้วยเราจำแทบไม่ได้”
นาลืมเพื่อนสมัยเรียนมัธยมต้นไปเสียสนิท ไก่เพื่อนของเธอคนนี้ย้ายตามพ่อซึ่งเป็นข้าราชการที่ต้องมาอยู่ที่ต่างจังหวัด ไก่เป็นเพื่อนที่ย้ายมาเรียนกลางเทอม และสนิทกับนามากที่สุด เพราะนาเป็นหัวหน้าห้องและเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนๆทุกคน
“บังเอิญจริงๆที่เราได้เจอกันอีกครั้ง เราดีใจมากเลยรู้ไหม ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอนาที่นี่ แล้วนี่มาเที่ยวเหรอ เราก็มาเที่ยว พาหลานมาเที่ยว แกสุขภาพไม่ค่อยดีน่ะ หมอแนะนำให้พามาสูดอากาศดีๆ บรรยากาศดีๆ”
ไก่ถามนา และพูดเป็นต่อยหอย เพราะปกติเพื่อนของนาคนนี้ก็เป็นคนช่างพูดอยู่แล้วตั้งแต่สมัยเด็กๆ
“อ๋อ เรามาทำงานน่ะ แล้วนี่พักที่ไหนล่ะ”
นาไม่รู้จะบอกเพื่อนออกไปยังไงดี ซึ่งความจริงแล้วนาก็มาทำงานจริงๆนั่นแหละ
“อ๋อ พี่เขยเราเขามีบ้านพักอยู่ที่นี่น่ะ ไปๆ เที่ยวบ้านเรานะ”
แล้วไก่ก็ลากนาไปเที่ยวบ้านที่มาพักผ่อนกับครอบครัว เมื่อไปถึงไก่แนะนำให้รู้จักกับแม่ของเธอ นาก็ทำความเคารพผู้ใหญ่ ไก่ถามถึงหลานกับแม่ของเธอ แม่ของไก่เลยบอกว่าพ่อของแกพาไปเดินเล่นแถวๆนี้แหละ
สักพักก็มีสายโทรเข้านารับสายจึงทราบว่าที่รีสอร์ทมีปัญหานิดหน่อย คงอยู่คุยด้วยนานไม่ได้ ไก่จึงถามว่านาทำงานที่ไหน นาตอบเพื่อนไปว่าเธอทำงานอยู่ที่ “สกรีนรีสอร์ท” ไก่นัดว่าพรุ่งนี้จะพาครอบครัวไปทานมื้อค่ำที่นั่น จะได้นั่งโม้ต่อกันให้หายคิดถึง แล้วทั้งคู่ก็แลกเบอร์โทเพื่อติดต่อกัน