ปลาทองเทวดา : ก.ไกรศิรกานท์

นิยายสั้นแนวชีวิต ดราม่า (Drama) นิยายสั้นแนวแฟนตาซี (Fantasy)

“หามิได้กระหม่อม กระหม่อมมิกล้ากราบทูล ด้วยเกรงว่าพระองค์จะมิทรงพอพระทัยพะย่ะค่ะ”

“แถลงมาเถิด ด้วยเกียรติแห่งเราผู้เป็นประมุขแห่งยามาสวรรค์ … เราขอให้ปฏิญาณว่าจะมิลงทัณฑ์สถานใด ๆ แก่ท่าน…หากว่าท่านมิปรารถนา”

“เป็นพระกรุณาแก่อนุเทพเช่นกระหม่อมเป็นล้นพ้นพะย่ะค่ะ”

รติศิรายามเทวบุตรค้อมศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงแสดงความเคารพ เขาหันไปยิ้มเยาะให้สิปปะยามเทวบุตรแวบหนึ่ง … เป็นแวบเดียวจริง ๆ แวบเดียวที่ไม่สามารถทำให้สิปปะยามเทวบุตรล่วงรู้ได้เลยว่าสิเนหกแห่งเขาผู้นี้กำลังคิดเจรจาสิ่งใดอยู่ภายในมนหทัย

จนกระทั่งรติศิรายามเทวบุตรเป็นฝ่ายเอื้อนเอ่ยขึ้นมาด้วยตนเองหลังจากนั้น!

“ข้าแด่องค์สุยามเทวราช ผู้เป็นไทไท้ฟ้าแห่งยามาสวรรค์ เหตุที่กระหม่อมรู้สึกขบขันนั้นก็หาได้พบเห็นสิ่งใดเป็นที่หรรษาน่ายลไม่ หากแต่เป็นเพราะกระหม่อมเกิดความรู้สึกบางประการขึ้นในมนกมลเท่านั้น…”

รติศิรายามเทวบุตรหันไปแสยะยิ้มให้สิปปะยามเทวบุตรอีกคำรบหนึ่ง เหมือนกับจะต้องการแจ้งรหัสให้อีกฝ่ายทราบว่า — ‘ท่านมิมีวันจะกล้ากระทำในสิ่งที่เรากำลังจะกระทำเป็นแน่!’

“กระหม่อมรู้สึกว่า พระองค์ก็อุปมาดั่งเฒ่าชราที่มิมีโอกาสได้กระทำในลางสิ่งลางอย่างที่ตนเองก็แจ้งในกมลแห่งตนดีว่าตนเองก็ต้องการจะกระทำเช่นนั้น พอวันหนึ่งได้ประสบพบว่ามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวหลานลูกคราหลานลุกขึ้นมากระทำในสิ่งเดียวกันกับสิ่งที่ตนเองก็ปรารถนาจะกระทำเช่นนั้น ก็ให้บังเกิดมีจิตรุ่มร้อนริษยา แต่ก็มิรู้จะกระทำฉันใดได้ ด้วยวัยแลสังขารมิได้เอื้ออำนวยให้สามารถลงไปเป็นคู่แข่งแย่งชิงได้ ก็เลยได้แต่ ‘ทำตัว’ ให้เป็นคนแก่เคร่งศีลธรรม คอยห้ามปรามเด็กหนุ่มเหล่านั้น ว่าสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไปเป็นการกระทำที่มิดีมิงาม น่าติฉิน ทั้ง ๆ ที่ตนเองนั้นฤๅก็มีความกระสันที่จะกระทำเช่นนั้นอยู่เฉกกัน… เพียงเท่านี้เองกระหม่อม … หากแต่กระหม่อมเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่าหรรษาก็เลยอดเสสรวลออกมามิได้ด้วยประการฉะนี้ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด…กระหม่อม”

รติศิรายามเทวบุตรอดรู้สึกแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นว่าสุยามเทวราชยังคงวางสีหน้าเรียบเฉย ไม่แสดงท่าทีว่าจะโกรธเคืองตนแต่อย่างใด

“อืม … น่าขันเฉกเช่นที่ท่านแถลงมาให้เราได้สดับจริง ๆ เสียด้วย” สุยามเทวราชแย้มโอษฐ์เล็กน้อย “แต่มีสิ่งใดฤๅที่ท่านดำริว่าเราอยากจะกระทำแล้วเรามิมีโอกาสได้กระทำ?”

“ข้าแด่พระองค์ผู้เป็นบดินทร์แห่งยามาสวรรค์ สิ่งที่กระหม่อมคิดว่าพระองค์ปรารถนาจะกระทำอยู่เฉกกัน หากแต่ก็มิมีโอกาสจะได้กระทำนั้น ก็อาทิการนั่งปรุงโฉมให้สะสวยงาม แล้วก็ออกไปทำกิริยาก้อร่อก้อติกกับบรรดานางสวรรค์เหล่านั้น พะย่ะค่ะ เอ…ฤๅว่าพระองค์จะมีความปรารถนาเพียงประการหลังเสียมากกว่า เพราะประการแรกนั้นคงมิมีความจำเป็นสำหรับพระองค์นัก เหตุด้วยพระองค์ก็ทรงพระสิริโฉมโนมสุวรรณอยู่แล้ว นี่หากกระหม่อมมีผิวพรรณเรืองรองผ่องเปล่งปลั่งดั่งสุวรรณเนื้อเก้าเฉกเช่นพระองค์ก็คงจะเป็นการดีมิน้อย”

รติศิรายามเทวบุตรกล่าวพลางแสร้งมองสรรพางค์กายอันโรจน์เหลืองเรืองรองขององค์สุยามเทวราชด้วยใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งเยาะ … กึ่งขบขัน

“ท่านต้องการเช่นนั้นฤๅไม่เล่า องค์อนุเทพ?”

“หากเป็นไปได้ดังนั้น กระหม่อมก็คงจะเป็นสุขยิ่งพะย่ะค่ะ”

“ท่านจะได้ในสิ่งที่ท่านปรารถนา ถือว่าเป็นรางวัลจากเรา เป็นค่าตอบแทนและค่าเสียเพลาที่เราได้เรียกท่านมาเจรจาด้วยในวันนี้”

สิ้นสุรเสียง องค์สุยามเทวราชก็เอื้อมหัตถ์แตะไปยังอุตมางค์ของอนุเทพผู้ยโสซึ่งนั่งอยู่ในฐานเบื้องต่ำกว่า ฉับพลันก็ให้บังเกิดเป็นรังสิโอภาสสว่างพร่างพรายไปทั่วทั้งคัคนัมพรจนมองไม่เห็นสรรพรูปเงาใด ๆ ทว่าครั้นเมื่อสิ้นประภัสสรแสงสุดท้าย ภาพเบื้องหน้าที่ปรากฏแต่สายตาก็ถึงกลับทำให้สิปปะยามเทวบุตรถึงกับต้องผงะหงายด้วยความตกใจ ด้วยว่าร่างงามของรติศิรายามเทวบุตรนั้น บัดนี้ได้กลับกลายเป็นเพียงร่างของสุวรรณมัจฉาตัวน้อยที่กำลังกระแด่วดิ้นอยู่บนปุยเมฆขาวเท่านั้นเอง!

“เราหวังใจเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจักสมปรารถนาแห่งท่านนะ ‘รติศิรายามเทวบุตร’ เพราะเพลานี้รูปกายของท่านดูผุดผ่องส่องสุวรรณเสียยิ่งกว่าเราเสียอีก ท่านจะกลายเป็นเดรัจฉานสัตว์ที่มีความทรงจำรำลึกได้ในช่วงเพลาสั้น ๆ เฉกเช่นที่ท่านกล่าวปดแก่เรา… ว่าท่านจดจำรำลึกความผิดทัณฑ์ใด ๆ ของท่านมิได้ รำลึกเหตุที่ท่านนิยมใช้ลมปากกล่าววาจาพล่อยเพ้อเจ้อจนผู้อื่นเดือนร้อนมิได้ … เบื้องหน้านับต่อแต่นี้ไป จักมิมีผู้ใดได้ยินลมปากพล่อยเพ้อเจ้อของท่านอีก แม้ว่าท่านจะพยายามเอื้อนโอษฐ์อ้าแถลงความอย่างไรก็ตามที … จงไปเสียเถิด ลงไปอยู่ด้วยกับพวกพื้นล่างนั่น รอจนกว่าจะมีมนุษย์สักผู้ที่มีจิตเมตตาเป็นอภิคณานับเข้ามาสังสรรค์เสวนากับท่าน…แล้วรู้ความที่ท่านต้องการแถลงไขแก่เขา เมื่อถึงวันนั้น เราจึงจักให้สิปปะยามเทวบุตรสิเนหกแห่งท่าน … ลงไปรับท่านกลับขึ้นมา”

พระพายพัดกลิ่นปาริชาตสวรรค์จากชั้นดาวดึงส์ลอยมากระทบนาสิกประสาทอีกคำรบหนึ่ง ปุยเมฆสีขาวนวลตรงตำแหน่งที่สุวรรณมัจฉาตัวน้อยนอนดิ้นกระเสือกกระสนอยู่นั้นก็ค่อย ๆ เจือจางบางเบาลงจนกลายเป็นรูกลวงทะลวงโปร่ง … ก่อนที่สุวรรณมัจฉาตัวนั้นจะร่วงหล่นลงไปสู่ ‘พื้นล่าง’

นั่นเป็นอีกครั้งหนึ่งในหลายรอบคำรบแห่งกาล ที่ดินแดนแห่งสรวงสวรรค์และมนุษยภพเปิดผ่านถึงกันได้ หากแต่จะมีสักกี่คนกันที่มีโอกาสได้ล่วงรู้และได้เห็นเหตุการณ์อันมหัศจรรย์พันลึกอันกล่าวมาโดยพิสดารนี้
.
.
.

ผีตากผ้าอ้อมย้อมชานเรือนให้พื้นไม้สักกลายเป็นสีเหลืองทอง พระพายพัดมาอ่อน ๆ กลิ่นหอมของดอกปาริชาตสวรรค์เจือจางไปกับอากาศธาตุกลางคคนานต์ กว่าจะเดินทางลงมาถึงนาสิกประสาทของมนุษยโลก กลิ่นหอมหวนรัญจวนจิตนั้นก็เหือดระเหิดหายไปจวนหมดสิ้นแล้ว