บ่วงบรรพกาล : ก.ไกรศิรกานท์

นิยายสั้นย้อนยุค ฉากสมัยโบราณ อิงประวัติศาสตร์ (Historical/ History)

เจ้าพี่สิทธิศักดิ์ – พระญาติห่าง ๆ ของเจ้าพ่อซึ่งอยู่ที่เวียงโกสัย [เวียงโกสัย = จังหวัดแพร่] เคยเล่าให้เจ้านางน้อยฟังว่าที่เมืองใต้หรือหัวเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ต่ำกว่าเมืองสุโขทัยของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ลงไปนั้น มีอุณหภูมิอากาศที่ค่อนข้างจะอบอุ่นกว่าที่วรนครมากนัก สาเหตุก็อาจจะเป็นเพราะว่าเมืองเหล่านั้นไม่ได้ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขา และมียอดดอยล้อมรอบโอบขนาบอย่างที่วรนครก็เป็นได้

นาน ๆ ที เจ้าพี่สิทธิศักดิ์ถึงจะเดินทางมาเยี่ยมมาแอ่วหาเจ้าพ่อและเจ้านางน้อยสักครั้งหนึ่ง พร้อมกับขบวนวัวต่างและช้างม้าไพร่พลเท่าที่เจ้าชายซึ่งไม่ใช่เจ้ารัชทายาทจะพึงมี โดยในการเสด็จมาแต่ละครั้งเจ้าพี่ก็มักจะนำเอาผ้าแพรหลากสีสันมาเป็นของกำนัลแก่เจ้านางน้อยด้วยเสมอ เจ้าพี่สิทธิศักดิ์บอกเธอว่าได้มาจากพวกแขกกุลา ซึ่งเจ้านางน้อยก็ไม่ได้ใส่ใจซักไซ้ถามไถ่ต่อไปอีกว่าเป็นแขกหรือกุลาพวกไหน เพราะนอกจากละว้า อาข่า ปกากะญอ ผีตองเหลือง และชนเผ่าชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในแถบนั้นแล้ว เจ้านางน้อยก็ไม่รู้จักชนชาติใดอีก

‘เมืองวรนครน่ะไกล ไปยากมายาก ต้องเดินทางผ่านหุบฮ่องห้วยเหวเป็นสิบเป็นซาวกว่าจะมาฮอดมาถึง น้องคงจะบ่ฮู้ ว่าคนบ้านอื่นเมืองอื่นเขาเรียกเขาฮ้องบ้านเมืองของน้องว่าอย่างใด?’ [ซาว = ยี่สิบ]

            ‘เขาเรียกเขาฮ้องว่าอย่างใดเจ้า’

            ‘เขาเรียกกันว่า…เมืองนาน’

เจ้านางน้อยหยิบเอาผ้าในหีบไม้สักขึ้นมาดู เห็นแล้วก็อดนึกถึงคนให้ไม่ได้ เจ้าพี่สิทธิศักดิ์บอกว่ามันเป็นผ้าทอมือจากเมืองม่าน คนม่านเรียกกันว่าผ้าลุนตยา ดูไปดูมา เผลอ ๆ อาจจะสวยกว่าผ้าลายน้ำไหลที่ขึ้นชื่อของวรนครเสียอีก [เมืองม่าน = พม่า]

“แล้วเจ้านางน้อยกลัวบ่เจ้า”

เป็นนานทีเดียว กว่าที่จำปาผู้เป็นพระพี่เลี้ยงจะตอบกลับมา นานเสียจนเจ้านางน้อยเกือบลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเธอถามอะไรพี่เลี้ยงสาวไปบ้าง

“บ่กลัว เฮาบ่กลัว กำแพงเมืองวรนครของเฮาออกจะแน่นหนาใหญ่โต อีกอย่างหนึ่ง…เฮาก็เห็นว่าเจ้าเมืองเจียงใหม่ก็มาล้อมเมืองของเฮาไว้หลายวันแล้ว ก็บ่เห็นเขาจะเข้ามาได้ในเมืองของเฮาได้สักที”

“แต่เฮาจะลาสา [ลาสา = ประมาท] ก็บ่ได้หนาเจ้า เมื่อแลงนี้ ได้ยินหมู่ทหารของเจ้าพ่ออยู่หัวแล่นเข้ามาบอก ว่าตอนนี้กำแพงเมืองของเฮาเสียหายไปหลายที่แล้ว ถ้าหมู่เจียงใหม่เขาบ่ยกทัพปิ๊กกลับไปง่าย ๆ เมืองวรนครของเฮาก็ท่าจะต้านปืนใหญ่ของหมู่พวกเขาบ่ไหว ได้ยินมาว่า…”

จำปาขยับเข้ามาใกล้ ทำท่ากระซิบกระซาบ “ว่ากันว่าพระเจ้าเจียงใหม่องค์นี้เหน็ดมาก เพราะถ้าบ่เหน็ด ก็คงลู่ยาดสมบัติจากเจ้าพ่อแล้วตั้งตัวเองขึ้นเป็นพ่อเมืองบ่สำเร็จหรอก” [เหน็ด = เก่งกาจ] / [ลู่ยาด = แย่งชิง]

“อย่างนั้นเลยหรือ?”

“เป็นอย่างนั้นเลยเจ้า คนเขาโจษกันทั่วบ้านทั่วเมือง ว่าลกราชบุตรที่หกของเจ้าพระยาสามฝั่งแกนเจ้าเมืองนครเจียงใหม่ พระองค์ลู่สมบัติจากเจ้าพ่อของพระองค์มา แล้วก็ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระมหาศรีสุธรรมธิโลกราช”

“ชื่อว่าอะหยังนะ ลองบอกใหม่อีกที”

“ลกเจ้า พระเจ้าเจียงใหม่องค์นี้เปิ้นมีจื้อว่าลก …พระเจ้าติลกราช” [ลก = ลูกชายคนที่ ๖]

“พระเจ้าติโลกราช…พระองค์จะมารุกรานเมืองวรนครของเฮาเพราะเหตุอะหยัง? เป็นหยังบ่ต่างคนต่างอยู่” เจ้านางน้อยพึมพำเบา ๆ เหมือนถามตัวเอง ทว่าเสียงใสปนเศร้านั้นก็ไม่อาจจะเล็ดลอดโสตประสาทของพี่เลี้ยงสาวไปได้

“พี่เห็นเขาว่ากันว่าที่พระเจ้าติลกราชยกกองทัพมาตีเมืองวรนครของเฮา ก็เพราะว่าที่บ้านบ่อเกลือใกล้ดอยภูคา เลยเมืองโปไปนั้นมีเกลืออยู่นักเจ้า … ตอนนี้ไผก็ใคร่ได้เกลือเน้อ ว่ากันว่ามันมีฤทธิ์ช่วยถนอมอาหารการกินได้ดีขนาด”

เจ้านางน้อยทำทีครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน นี่ถ้าเจ้าพี่สิทธิศักดิ์อยู่ใกล้ ๆ ก็คงจะดีไม่น้อย คงจะพออาศัยไหว้วานช่วยเหลือกันได้บ้าง แต่นี่ก็อยู่ห่างไกลกันเหลือเกิน เจ้านางน้อยได้ยินเจ้าพ่อบอกว่า เรื่องที่จะหวังพึ่งเมืองแพร่ให้มาช่วยเมืองวรนครของเฮารบนั้น ก็เห็นทีจะลำบากอยู่ เพราะม้าเร็วจากพวกชาวฮ่อชาวเงี้ยวที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารอาสาสมัครเป็นทหารช่วยรบนั้น ได้แจ้งข่าวมาแล้วเมื่อสามวันก่อนว่า

            ‘ตอนนี้ทางเวียงโกสัยก็ลำบากเอาการอยู่ เพราะตอนที่พระเจ้าติโลกราชยกทัพออกมาจากเจียงใหม่นั้น พระเจ้าติโลกราชก็ให้เจ้าแม่ของพระองค์ยกทัพออกไปตีเวียงโกสัยอีกทางหนึ่งด้วย’

          คนอะไร ร้ายทั้งแม่ทั้งลูก!