สำนักข่าว KCNA ของทางการเกาหลีเหนือ ออกมายอมรับเป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการว่า รัฐบาลได้ส่งกองทัพเกาหลีเหนือไปช่วยรัสเซียในสงครามยูเครน โดยระบุชัดเจนว่าทหารจากรัฐบาลเปียงยางมีส่วนสำคัญที่ช่วยให้กองกำลังรัสเซีย “ปลดปล่อย” พื้นที่ชายแดนเคิร์สค์ได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งดำเนินการตามคำสั่งโดยตรงของคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ
การยอมรับที่น่าตกใจนี้เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่วาเลรี เกราซิมอฟ เสนาธิการกองทัพรัสเซีย ได้กล่าวชื่นชมบทบาทของกองทัพเกาหลีเหนืออย่างเปิดเผยในการปลดปล่อยพื้นที่ชายแดนเคิร์สก์ ระหว่างการประชุมทางวิดีโอกับประธานาธิบดีวลาดิเมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา โดยในการประชุมดังกล่าว ปูตินได้ประกาศอย่างภาคภูมิใจว่าประเทศของเขาได้ยึดพื้นที่ชายแดนเคิร์สก์คืนมาได้อีกครั้งหลังจากที่สูญเสียไปให้กับยูเครนในช่วงก่อนหน้านี้
ยืนยันข้อสงสัยที่มีมานาน
นับเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองประเทศออกมายอมรับความร่วมมือทางทหารอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีรายงานข่าวและหลักฐานเชิงประจักษ์มากมายตลอดรอบปีที่ผ่านมาว่าเกาหลีเหนือมีส่วนร่วมที่ช่วยรัสเซียในการรบกับยูเครน ทั้งในรูปแบบของอาวุธยุทโธปกรณ์และกำลังพลที่ส่งไปสนับสนุนในพื้นที่สู้รบ ก่อนหน้านี้ รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เกาหลีใต้ สหราชอาณาจักร และยูเครน ได้ระบุตรงกันว่า ทหารเกาหลีเหนือได้ถูกส่งไปประจำการในแนวหน้าของสงครามเป็นจำนวนมาก ซึ่งนานาชาติได้ประณามการกระทำดังกล่าวว่าเป็นการใช้ชีวิตชาวเกาหลีเหนือที่ไม่ใช่ทหารอาชีพ ถูกส่งมาเป็นเสมือนโล่มนุษย์เพื่อป้องกันกองทัพรัสเซีย
คิม จองอึน ประกาศภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์
สำนักข่าว KCNA ยังรายงานเพิ่มเติมถึงคำกล่าวของผู้นำคิม จองอึน ที่มุ่งมั่นว่า “การมีส่วนร่วมของกองกำลังติดอาวุธของเราในสงครามครั้งนี้เป็นภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ที่มุ่งเสริมสร้างมิตรภาพและความสามัคคีแบบดั้งเดิมระหว่างสองประเทศ รับประกันการพัฒนาและความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองประเทศ และปกป้องเกียรติของเกาหลีเหนือในเวทีโลก”
ความร่วมมือครั้งนี้มีพื้นฐานมาจากสนธิสัญญาความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ที่ครอบคลุมซึ่งผู้นำทั้งสองประเทศได้ลงนามร่วมกันในกรุงเปียงยางเมื่อเดือนมิถุนายน 2024 โดยสนธิสัญญาฉบับนี้ให้คำมั่นว่าทั้งสองประเทศจะให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่กันในกรณีที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเผชิญกับภัยคุกคามหรือเข้าสู่ภาวะสงคราม ซึ่งการส่งทหารเกาหลีเหนือเข้าไปช่วยรัสเซียในครั้งนี้ถือเป็นการปฏิบัติตามพันธสัญญาดังกล่าว
การยกย่องวีรบุรุษและการสร้างอนุสาวรีย์
นอกจากนี้ คิม จองอึน ได้ยกย่องทหารเกาหลีเหนือที่เข้าร่วมปฏิบัติการในการปลดปล่อยภูมิภาคเคิร์สค์ว่าเป็น “วีรบุรุษที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและมิตรภาพระหว่างประเทศ” เขายังประกาศว่าในเร็วๆ นี้จะมีการสร้างอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่เพื่อรำลึกถึงทหารเกาหลีเหนือที่เข้าร่วมปฏิบัติการช่วยรัสเซียรบกับยูเครน พร้อมกำหนดให้มีพิธีวางดอกไม้อย่างยิ่งใหญ่เพื่อเป็นเกียรติให้กับทหารที่ได้สละชีวิตเพื่อประเทศชาติในการปฏิบัติภารกิจครั้งสำคัญนี้
ท่าทีของทั้งเกาหลีเหนือและรัสเซียจึงไม่ได้เป็นเพียงแค่ “การยอมรับ” ในการมีส่วนร่วมเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือน “การฉลองชัยชนะร่วมกัน” อย่างเปิดเผย ในวาระที่รัสเซียสามารถรุกคืนพื้นที่สำคัญทางยุทธศาสตร์ในยูเครนได้ในที่สุด หลังจากที่พยายามมาเป็นเวลานาน
รัสเซียตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่
ในขณะเดียวกัน รัสเซียได้แสดงแสนยานุภาพทางทหารด้วยการส่งโดรนสังหารกว่า 150 ลำ โจมตีทางอากาศไปทั่วดินแดนยูเครนเมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 เมษายน) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 4 ราย และมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงเด็กหญิงวัย 14 ปี ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส
สำนักงานอัยการประจำภูมิภาคโดเนตสค์ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กระบุว่า กองทัพรัสเซียได้ทิ้งระเบิดร่อนอย่างน้อย 3 ลูกใส่เมืองโดเนตสค์ ซึ่งอยู่ห่างจากแนวหน้าสนามรบประมาณ 10 กิโลเมตร ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานของกองทัพอากาศยูเครน ที่เปิดเผยว่า รัสเซียได้ยิงโดรนสังหารทั้งสิ้น 149 ลำในการโจมตีระลอกล่าสุดนี้ แม้ว่ากองทัพยูเครนจะสามารถสกัดโดรนได้ 57 ลำ และรบกวนสัญญาณควบคุมของโดรนสังหารได้อีก 67 ลำ แต่ก็ยังมีโดรนจำนวนมากที่สามารถเล็ดลอดผ่านระบบป้องกันและสร้างความเสียหายอย่างหนัก
การโจมตีทางอากาศครั้งใหญ่ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากที่ประธานาธิบดีปูตินได้ประกาศว่ากองกำลังรัสเซียสามารถควบคุมส่วนที่เหลือของภูมิภาคเคิร์สค์ได้อีกครั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้กองกำลังยูเครนได้ยึดครองไว้ได้ด้วยการบุกโจมตีแบบกะทันหันเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2024 อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ระดับสูงของยูเครนยังคงยืนกรานว่าการสู้รบในพื้นที่เคิร์สค์ยังคงดำเนินต่อไป และรัสเซียยังไม่สามารถยึดพื้นที่ทั้งหมดได้สำเร็จตามที่กล่าวอ้าง
ความรุนแรงยังคงทวีขึ้นต่อเนื่อง
ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนยังคงปะทุขึ้นเรื่อย ๆ ราวกับว่ายิ่งมีความพยายามในการเจรจาสันติภาพมากเท่าไร ความสงบบนสมรภูมิรบกลับทวีความรุนแรงขึ้นมากเท่านั้น เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่สืบสวนของรัสเซียได้ยื่นฟ้องข้อหาก่อการร้ายต่อชายผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้สังหารเจ้าหน้าที่ทหารระดับสูงของรัสเซีย
รัฐบาลรัสเซียได้กล่าวโทษรัฐบาลยูเครนว่าอยู่เบื้องหลังเหตุระเบิดรถยนต์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ยาโรสลาฟ โมสคาลิก วัย 59 ปี เสียชีวิต ซึ่งเขาเป็นนายทหารรัสเซียระดับสูงคนล่าสุดที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการสงครามโดยตรงที่ตกเป็นเป้าหมายของการลอบสังหาร
คณะกรรมการสอบสวนของรัสเซียได้ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ชื่อ อิกแนต คูซิน ซึ่งเคยอาศัยอยู่ในยูเครนมาก่อน ได้สารภาพว่าตนเป็นผู้ลงมือสังหารเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัสเซียจริง และยังอ้างด้วยว่าตนได้รับการคัดเลือกและรับเงินสนับสนุนจากหน่วยงานความมั่นคงของยูเครนในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ ซึ่งรัสเซียได้ใช้เหตุการณ์นี้เป็นข้ออ้างในการโจมตียูเครนอย่างหนักในระลอกล่าสุด
ทรัมป์แสดงความกังขาต่อสันติภาพ
ด้านประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐอเมริกา ได้แสดงความคิดเห็นเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาว่า เขาเริ่มมีความสงสัยอย่างหนักว่าประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียต้องการยุติสงครามในยูเครนที่ดำเนินมานานกว่า 3 ปีจริงหรือไม่ และได้แสดงความไม่มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้
ความเห็นดังกล่าวของทรัมป์สวนทางกับถ้อยแถลงของเขาเองเมื่อเพียงหนึ่งวันก่อนหน้านั้น ที่ได้ประกาศอย่างมั่นใจว่าการเจรจาสันติภาพของสงครามรัสเซีย-ยูเครน “ใกล้จะบรรลุข้อตกลง” แล้ว ซึ่งสร้างความสับสนให้กับประชาคมโลกเป็นอย่างมาก
หลังจากการสนทนาระหว่างประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดียูเครน โวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ที่นั่งจับเข่าคุยกันระหว่างพิธีพระศพของพระสันตะปาปาฟรานซิส ทรัมป์ได้ออกมาโพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์ม Truth Social ของเขา โดยระบุว่า “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผมคิดว่า บางทีปูติน อาจจะไม่ได้อยากจบสงครามนี้อย่างจริงใจ แต่กำลังใช้สงครามนี้เป็นเครื่องมือในการถ่วงเวลาและทรัพยากรของสหรัฐฯ ซึ่งเราอาจต้องรับมือกับเขาด้วยมาตรการที่แข็งกร้าวมากขึ้น เช่น การคว่ำบาตรทางการเงินที่รุนแรงขึ้น หรือการคว่ำบาตรทางอ้อมในรูปแบบอื่นๆ เพราะตอนนี้มีผู้เสียชีวิตมากเกินไปแล้ว”
สหรัฐฯ เริ่มทบทวนบทบาทคนกลาง
ด้านนายมาร์โก รูบิโอ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ข้อตกลงสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนจะต้องเกิดขึ้นโดยเร็วที่สุด และรัฐบาลวอชิงตันกำลังพิจารณาอย่างจริงจังว่าข้อตกลงนี้มีความคุ้มค่าที่สหรัฐฯ จะทำหน้าที่เป็นคนกลางในการเจรจาต่อไปหรือไม่
รูบิโอยังได้เน้นย้ำว่า สหรัฐอเมริกาไม่สามารถอุทิศเวลาและทรัพยากรอันมีค่าให้กับความขัดแย้งนี้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด หากความพยายามในการเจรจาสันติภาพยังคงไม่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในสถานการณ์ปัจจุบันที่ทั้งรัสเซียและเกาหลีเหนือกำลังแสดงท่าทีที่แข็งกร้าวมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงในภูมิภาคและเสถียรภาพของโลกในระยะยาว