ราคาโกโก้ที่พุ่งสูงขึ้นในปี 2024-2025 ไม่ใช่เพียงปรากฏการณ์ชั่วคราว แต่สะท้อนปัญหาโครงสร้างที่ซับซ้อนในระบบอาหารโลก ปัจจัยหลายประการเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน:
สาเหตุหลักของวิกฤตโกโก้
- ปัญหาการผลิตในแหล่งสำคัญ
- กว่า 80% ของโกโก้โลกมาจากแอฟริกาตะวันตก โดยเฉพาะไอวอรีโคสต์และกานา
- ภัยแล้งรุนแรงและโรคพืช Cacao Swollen Shoot Virus (CSSV) ทำลายผลผลิตในวงกว้าง
- ผลผลิตโกโก้ตกต่ำที่สุดในรอบหลายปี
- โครงสร้างการผลิตที่เปราะบาง
- เกษตรกรรายย่อยขาดเงินทุนและเทคโนโลยี
- ไม่ได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม แม้ราคาหน้าฟาร์มจะเพิ่มขึ้น
- ขาดแรงจูงใจในการลงทุนปรับปรุงพันธุ์หรือระบบชลประทาน
- สวนโกโก้เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ และยากต่อการฟื้นฟู
- อุปสงค์ที่ยังคงแข็งแกร่ง
- แม้ราคาจะสูงขึ้น แต่ความต้องการโกโก้ยังคงสูง
- อัตราการบดโกโก้ลดลงเพียง 4% เมื่อเทียบปีต่อปี (2023-2024)
- ผู้บริโภคและผู้ผลิตยังคงแย่งซื้อวัตถุดิบแม้ราคาพุ่งสูง
ผลกระทบต่อตลาดและผู้บริโภค
- ร้านค้าเล็กๆ ปรับราคาขึ้น 5-10 บาทต่อแก้ว เนื่องจากแบกรับต้นทุนไม่ไหว
- แบรนด์ช็อกโกแลตขนาดใหญ่กำลังโยนภาระให้ผู้บริโภคผ่านการขึ้นราคา
- ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าราคาสินค้าจะพุ่งสูงขึ้นถึง 10% ในปี 2025
- ภาวะเงินเฟ้อที่มีอยู่แล้วยิ่งทำให้ผู้บริโภครู้สึกกดดันมากขึ้น
มุมมองระยะยาว
วิกฤตโกโก้ไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศเลวร้ายในปีใดปีหนึ่ง แต่เป็นผลสะสมจากปัญหาเชิงโครงสร้างที่เรื้อรังในอุตสาหกรรม รวมทั้งแรงกดดันใหม่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทำให้ราคามีแนวโน้มสูงต่อเนื่องในระยะกลาง
ธุรกิจต้องปรับตัวด้วยการคิดใหม่ ทำใหม่ และสื่อสารกับลูกค้าอย่างจริงใจ เพื่อรับมือกับต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ผู้บริโภค แม้ราคาจะสูงขึ้น หากคุณภาพยังดีเหมือนเดิม หลายคนก็ยังยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากความต้องการในตลาดที่ยังคงแข็งแกร่ง